MSU Sustainability Development Goals (SDGs)

นักวิจัย มมส ต่อยอด “เด็กปั้นปุ๋ย” เพิ่มมูลค่าจากขยะวัสดุเหลือทิ้ง สู่การสร้างอาชีพเพิ่มรายได้ให้ชุมชน

อาจารย์นักวิจัยจากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ และ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม    ลงพื้นที่บริการวิชาการแบบบูรณาการ สร้างนวัตกรรมและชุมชนต้นแบบสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน แก้ปัญหาขยะมูลฝอย ก๊าซเรือนกระจก และ PM2.5 สู่การส่งเสริมอาชีพสร้างรายได้ ลดใช้พลังงาน เปลี่ยนขยะให้เป็นปุ๋ย เกิดห่วงโซ่คุณค่าไปยังกลุ่มปลูกผักอินทรีย์ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิพงษ์ พุฒคำ หัวหน้าโครงการ ฯ กล่าวว่า ได้ลงพื้นที่ร่วมกับกลุ่มวิสาหกิจเด็กปั้นปุ๋ย ดำเนินการสาธิตระบบการผลิตปุ๋ย การใช้ระบบ loT (Internet of Things) การใช้ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ และการเก็บข้อมูลเพื่อยื่นขอรับรองการลดปริมาณคาร์บอนให้กับคนในชุมชน ที่โรงผลิตปุ๋ยอินทรีย์ชุมชน หมู่ที่ 3 อบต.หนองโก อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ภายใต้โครงการการพัฒนาชุมชนคาร์บอนต่ำผ่านการจัดการผลิตปุ๋ยอินทรีย์อัจฉริยะจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งได้ดำเนินการต่อเนื่องปีนี้เป็นปีที่ 2 (ในปีแรกชุมชนทำกันเอง) โดยคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ ร่วมกับ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้รับทุนสนับสนุนโครงการบริการวิชาการแบบบูรณาการ เพื่อสร้างนวัตกรรมและชุมชนต้นแบบสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567

ก่อนเริ่มโครงการในปีแรก (ปี 2565) ได้พบปัญหาในพื้นที่ คือเรื่องการจัดการขยะมูลฝอย ที่มีปริมาณมากถึง 2 ตันต่อวัน อีกทั้งมีวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรปนมาด้วย ทำให้มีการจัดการขยะด้วยการเทกอง ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกิดก๊าซเรือนกระจก และ PM2.5 ส่งผลเสียต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน อีกทั้งชาวบ้านพยายามรวมกลุ่มกันเพื่อแก้ปัญหา และเราเห็นความตั้งใจของชุมชน เลยทำงานร่วมกับนิสิต ซึ่งเรียกตัวเองว่า “เด็กปั้นปุ๋ย”  ได้ไปขอทุนจากภาคเอกชน และได้ในส่วนของบริษัททางด่วนกรุงเทพ จำกัด และบริษัทน้ำตางวังขนาย (มหาวัง) มาช่วย  และได้มอบวัสดุที่เหลือใช้จากโรงงาน เอามาใช้ในการทำปุ๋ยอินทรีย์

พอทำเสร็จในปีแรก พบปัญหาในเรื่องของการใช้แรงงาน เนื่องจากว่าเป็นกระบวนการผลิตใช้แรงงานเยอะ แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นผู้สูงวัย จึงทำต่อเนื่องในปีที่สอง (ปี 2566) ใช้กระบวนการของลีน (LEAN) คือทำกระบวนการให้มันเล็กลง ใช้เวลาน้อยลง ประหยัดต้นทุนขึ้น เข้ามาช่วยในการจัดการปุ๋ยของโรงเรือน ในขณะเดียวกัน ก็ใช้เรื่องของโซลาร์เซลล์เพื่อช่วยลดในการใช้พลังงาน แล้วก็ทำให้พื้นที่เป็นลักษณะของการใช้พลังงานหมุนเวียน

สำหรับในปีที่สาม (2567) คือในปีนี้ ได้ดำเนินการเพิ่มกำลังการผลิตด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่ ลดเวลาทำงานและยื่นของการรับรองการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (LESS) ปรับระบบ LEAN ลดการสูญเสียเวลาการผลิตและสูญเสียผลิตภัณฑ์ มีการใช้ระบบ IoT (Internet of Things) เช็คความชื้น รดน้ำ ลดเวลาดูแลระบบ  และนำระบบไฟฟ้าพลังงานแสดงอาทิตย์เข้ามาใช้

จนกระทั่งท้ายที่สุดของโครงการนี้ ได้เกิดผลผลิตและผลลัพธ์ ที่เกิดประโยชน์ต่อชุมชนชาวบ้านในมิติต่าง ๆ เช่น ผลิตปุ๋ยได้ถึง 8,000 กิโลกรัม มีระบบ IoT และใช้ hand lift ทุ่นแรง ส่งผลให้รายได้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 18 เท่าเมื่อเทียบกับปีแรก ลดรายจ่ายในการซื้อปุ๋ยเคมี ปุ๋ยที่ได้สามารถขายต่อให้กับกลุ่มวิสาหกิจ ที่ทำเกี่ยวกับผักอินทรีย์ด้วย เพราะฉะนั้นจะทำให้เกิดห่วงโซ่คุณค่าขึ้น ไม่ใช่เฉพาะตัวชุมชนอย่างเดียว ยังออกไปสู่ชุมชนรอบข้างได้ด้วย เพราะจะเป็นแหล่งเรียนรู้ของบุคคลทั่วไปและวิสาหกิจอื่น ๆ ที่เข้ามาศึกษาดูงานและต่อยอดได้ และที่สำคัญคือลดปัญหาการเผาวัสดุการเกษตร ลดก๊าซเรือนกระจก  ลดการใช้สารเคมี นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของชาวบ้านในชุมชนอย่างยั่งยืน

ภาพ/ข่าว : บุณฑริกา  ภูผาหลวง
ที่มา : กองส่งเสริมการวิจัยและบริการวิชาการ

# ด้านบริการวิชาการ (Academic Service)

SDGs: 1 GOAL1-ขจัดความยากจน (No Poverty) 11 GOAL11-เมืองและชุมชนยั่งยืน (Sustainable cities and communities) 15 GOAL15-ระบบนิเวศบนบก (Life on land)