มมส ร่วมพิธีถวายราชสักการะ เนื่องใน”วันคล้ายวันสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรมหาราช”
วันนี้ (25 เมษายน 2567) เวลา 08.30 น. รองศาสตราจารย์ ดร.ประยุกต์ ศรีวิไล ผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคาม มอบหมายให้ นายจีรพันธ์ ภูครองเพชร ผู้อำนวยการกองกลางพร้อมด้วย พนักงานมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร่วมพิธีถวายราชสักการะ วางพวงมาลาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประจำปี 2567 ณ หอประชุมจังหวัดมหาสารคาม
โดยมี นายวิบูรณ์ แววบัณฑิต ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลา จุดธูป เทียน เครื่องทองน้อย หน้าพระบรมสาทิสลักษณ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จากนั้นกล่าวถวายราชสดุดี ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และพระเกียรติคุณของพระองค์ ที่ทรงพระปรีชาสามารถ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ขับไล่อริราชศัตรูตลอดพระชนม์ชีพ เพื่อสร้างความเป็นเอกราชให้แก่ชาติไทย และเป็นมหาวีรกรรมที่เลื่องลือปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ตราบจนทุกวันนี้
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธิกษัตริย์ (พระราชธิดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยและสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) เสด็จพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. 2098 ที่พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อปีพุทธศักราช 2133 ตลอดรัชสมัยของ พระองค์ทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากหงสาวดี และได้ทำสงครามกับอริราชศัตรูทั้งพม่าและเขมร จนราชอาณาจักรไทยเป็นปึกแผ่นมั่นคง ขยายพระราชอาณาเขตออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาลกว่าครั้งใดในอดีตที่ผ่านมา งานสงครามในรัชสมัยของพระองค์ ทั้งในดินแดนไทยและดินแดนข้าศึก ได้ชัยชนะทุกครั้ง ทรงมีพระปรีชาสามารถในการนำทัพ ทรงริเริ่มนำยุทธวิธีแบบใหม่มาใช้ในการทำสงคราม และเปลี่ยนแนวความคิดจากการตั้งรับมาเป็นการรุก และริเริ่มการใช้วิธีรบนอกแบบ การทำสงครามกับพม่าครั้งสำคัญที่ทำให้พม่าไม่กล้า ยกทัพมารุกรานไทยอีกเลย เป็นเวลาเกือบสองร้อยปีคือ สงครามยุทธหัตถี เมื่อปี พ.ศ. 2135 นั่นคือเมื่อหงสาวดีนำโดยพระมหาอุปราชามังสามเกียดยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา อีกครั้ง สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาจนกระทั่งสามารถเอาพระแสงง้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่ง สิ้นพระชนม์อยู่กับคอช้าง สมเด็จพระนเรศวรเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 25 เมษายน พุทธศักราช 2148 รวมพระชนมพรรษา 50 พรรษา
ภาพ/ข่าว : บุณฑริกา ภูผาหลวง
ที่มา : งานพิธีการและกิจการพิเศษ
# ด้านศิลปวัฒนธรรม (Art and Culture)
SDGs: